คุณอยู่ที่นี่
กำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงาน
- งานอุบัติเหตุและฉุกเฉิน
เมื่อประกาศใช้แผนอุบัติภัยและสาธารณภัยแผน 1และ 2
หัวหน้าเวรห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉินมีหน้าที่ดังนี้
-
1. รายงานแพทย์เวรห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน เพื่อประกาศใช้แผนในกรณีแพทย์เวรไม่ได้
อยู่ในพื้นที่พยาบาลห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน สามารถตัดสินใจประกาศใช้แผนอุบัติภัย
และสาธารณภัย1และ 2ได้
2. ประสานงานกับพนักงานประชาสัมพันธ์เพื่อประกาศใช้แผนอุบัติภัยและสาธารณภัยแผน 1
และ 2
3. แจ้งเจ้าหน้าที่ทุกระดับในหน่วยงานและศูนย์เปลเพื่อเตรียมรับสถานการณ์
4. รายงานผู้บังคับบัญชาตามลำดับขั้น
5. จัดสถานที่และเตรียมอุปกรณ์ช่วยชีวิตให้พร้อม ถ้าพื้นที่ในห้องฉุกเฉินไม่เพียงพอให้ใช้
พื้นที่หลังห้องบัตรเพิ่ม
6. จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ให้เพียงพอ นอกเวลาราชการถ้าพบปัญหา หัวหน้าเวรรายงาน
หัวหน้างานอุบัติเหตุและฉุกเฉิน ยาและเวชภัณฑ์ที่จำเป็นหัวหน้าเวรประสานงานกับ
เจ้าหน้าที่ห้องยา
7. จัดทีมหน่วยกู้ชีพไปยังจุดเกิดเหตุที่ปลอดภัยตามสถานการณ์
เมื่อประกาศใช้แผนอุบัติภัยและสาธารณภัยแผน 3
หัวหน้าเวรห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉินมีหน้าที่ดังนี้
-
1. รายงานแพทย์เวรห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉินถึงสถานการณ์และจำนวนผู้บาดเจ็บในขณะนั้น เพื่อพิจารณาประกาศใช้แผนอุบัติภัยและสาธารณภัยแผน 3
2. ประสานงานกับพนักงานประชาสัมพันธ์เพื่อประกาศใช้แผนอุบัติภัยและสาธารณภัยแผน 3
3. แจ้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจัดพื้นที่พร้อมรับสถานการณ์กันผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าใน บริเวณรักษาพยาบาลจัดพื้นที่บริเวณแผนกผู้ป่วยนอกเคลื่อนย้ายเก้าอี้ออกไปจากบริเวณ นั้น
4. แจ้งเจ้าหน้าที่ห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉินทุกคนรับทราบและรายงานตัวที่ศูนย์อำนวยการ
5. พยาบาลห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน สั่งการให้พยาบาลวิชาชีพจัดเตรียม อุปกรณ์และ รับผิดชอบประจำพื้นที่สีเหลือง สั่งการให้ผู้ช่วยเหลือคนไข้จัดเตรียมอุปกรณ์ประจำพื้นที่สี เขียว
- พยาบาลวิชาชีพ มีหน้าที่ดังนี้
-
1. ให้ IV Fluid
2. เตรียมยาและให้ยาที่จำเป็นตามแผนการรักษาของแพทย์
3. เป็นหัวหน้าทีม CPR และดูแลผู้ป่วยหนัก
4. เย็บบาดแผลหรือช่วยแพทย์ทำหัตถการพิเศษ
5. เมื่อวัสดุการแพทย์ไม่เพียงพอรายงานหัวหน้างานอุบัติเหตุและฉุกเฉินจัดหาวัสดุการแพทย์
เพิ่มเติม
6. พยาบาลหัวหน้าทีมห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน จัดพยาบาลนำส่งผู้บาดเจ็บสาหัสไปหอ
ผู้ป่วยใน/ส่งต่อ พร้อมอุปกรณ์ช่วยชีวิต
7. พยาบาลหัวหน้าทีมห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน ตรวจสอบการลงทะเบียนภายหลังแผนฯยุติ
8. พยาบาลหัวหน้าทีมห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน ตรวจสอบทรัพย์สินมีค่าของ ผู้บาดเจ็บ
ทั้งหมดบันทึกในสมุดของมีค่า
9. พยาบาลหัวหน้าทีมห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน เขียนรายงานอาการในสมุดรายงานอาการ
ห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน
10. พยาบาลหัวหน้าทีมห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน บันทึกแบบฟอร์มรายงานอุบัติเหตุ
11. ตามของใช้เวชภัณฑ์ต่างๆคืนห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน เมื่อเข้าสู่สภาวะปกติ
- เวชกรฉุกเฉิน มีหน้าที่ดังนี้
-
1. เตรียม IV Fluid และช่วยเตรียมอุปกรณ์การให้ IV Fluid
2. ทำหน้าที่เป็น Circulate
3. ตรวจบันทึกสัญญาณชีพและสัญญาณประสาท
4. ชำระล้างบาดแผลและหัตถการตามความจำเป็น
5. จัดเตรียมอุปกรณ์การแพทย์ที่ต้องการใช้
6. ออกปฏิบัติงาน ณ จุดเกิดเหตุ /ส่งต่อผู้ป่วย
7. ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ได้รับมอบหมาย
- ผู้ช่วยเหลือคนไข้/ลูกจ้าง มีหน้าที่ดังนี้
-
1. เตรียมความพร้อมของเครื่องมือเครื่องใช้ ให้เพียงพอ
2. ดูแลความสะอาดเครื่องมือเครื่องใช้
3. ชำระล้างบาดแผลตามความจำเป็น
4. เคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บ
5. ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ได้รับมอบหมาย
กรณีเป็นอุบัติภัยจากสารเคมี
- 1. พยาบาลวิชาชีพประสานงานกับพยาบาลศูนย์รักษาพิษฯเพื่อขอสนับสนุนข้อมูลของสารเคมีเพื่อการรักษาผู้บาดเจ็บและความปลอดภัยในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ศูนย์พิษวิทยาโรงพยาบาลรามาธิบดี โทร.1367หรือศูนย์ พิษวิทยา ร.พ.ศิริราช โทร 02-419-7007 หรือhttp://drug.nhso.go.th/Antidotes/
ทีมล้างตัวผู้บาดเจ็บ และการเปลี่ยนทีม
-
** ทีมสำหรับล้างตัวผู้บาดเจ็บ คือ ทีมห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน ประกอบด้วย
พยาบาลวิชาชีพ 1 คน
เวชกรฉุกเฉิน 1 คน
พนักงานศูนย์เปล 1 คน** ต้องมีการเปลี่ยนทีมที่ล้างตัวทุกครึ่งชั่วโมง ครั้งละ 1 คน
ขั้นตอนการปฏิบัติการ EMS สารเคมี ณ จุดเกิดเหตุ
-
1. การออกปฏิบัติงานนอกสถานที่หรือออกไปยังจุดเกิดเหตุต้องได้รับทราบข้อมูลชนิดและ อันตรายของสารเคมี การป้องกันอันตรายของเจ้าหน้าที่ ทิศทางการพัดของลม ต้องทราบจุด หรือตำแหน่งที่ปลอดภัยและผู้ประสานงาน ณ จุดเกิดเหตุได้แก่ ชื่อ- สกุล เบอร์ โทรศัพท์ที่ สามารถติดต่อได้ 2. การออกปฏิบัติงานนอกสถานที่หรือออกไปยังจุดเกิดเหตุต้องรายงานผู้บังคับบัญชาตามลำดับ ขั้น (นอกเวลาราชการรายงานแพทย์เวร) และรอคำสั่งอนุญาตจากผู้อำนวยการหรือ ผู้ทำการแทนก่อนทุกครั้งเพื่อความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน
3. เมื่อออกปฏิบัติการและไปถึงจุดเกิดเหตุต้องให้รายงานตัวกับผู้อำนวยการในภาวะฉุกเฉิน (ED) EMERGENCY DIRECTOR
4. จัดเตรียมอุปกรณ์ ให้พร้อม ได้แก่ อุปกรณ์ช่วยชีวิต ยาและเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ล้างตา ออกซิเจน ชุดป้องกันสารเคมี ถุงมือและรองเท้าบู๊ตป้องกันสารเคมี ผ้ายางหรือถุง พลาสติก ชนิดมีซิปหุ้มร่างกายผู้บาดเจ็บทั้งตัว ถุงพลาสติกเพราะผู้บาดเจ็บอาจมีอาการอาเจียน
5. พนักงานขับรถและทีมแพทย์ พยาบาลที่เข้าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บควรสวมชุดป้องกันอันตราย ส่วนบุคคล
6. เมื่อหน่วยบริการพยาบาลช่วยเหลือ ณ จุดเกิดเหตุ (EMS) ถึงจุดปฏิบัติการแล้วต้อง รายงาน กลับมายังห้องฉุกเฉินเกี่ยวกับลักษณะของเหตุการณ์ ความรุนแรงจำนวน ผู้ได้รับบาดเจ็บ หน่วยงานที่เข้าไปช่วยเหลือ สารเคมีที่เกี่ยวข้องเท่าที่ทราบ
7. หลักการปฐมพยาบาลเบื้องต้น คือ การช่วยเหลือระบบหายใจ การให้สารน้ำ การลดความ เจ็บปวด และผู้บาดเจ็บจากสารเคมีควรได้รับการล้างตัวตามความเหมาะสม และถอดเสื้อผ้า ที่ปนเปื้อนสารเคมีออกและใช้ผ้ายางหรือถุงพลาสติกชนิดมีซิปห่อหุ้มร่างกายผู้บาดเจ็บโดยให้ คลุมตั้งศีรษะถึงปลายเท้า เคลื่อนย้ายผู้ป่วยโดยใช้อุปกรณ์การเคลื่อนย้ายที่เหมาะสม
8. เปลเข็นนอนที่นำส่งผู้บาดเจ็บต้องได้รับการปูด้วยพลาสติกหรือห่อตัวผู้บาดเจ็บด้วยพลาสติก
9. ขณะนำส่งผู้บาดเจ็บต้องให้ออกซิเจน100% ตลอดเวลา(ยกเว้นสารเคมีที่มีข้อห้ามในการให้ ออกซิเจน เช่น พาราควอท ) และถ้ามีถังออกซิเจนสำรองอยู่ในรถพยาบาลให้นำถังออกซิเจ ไว้ที่จุดเกิดเหตุเพื่อช่วยเหลือผู้บาดเจ็บรายอื่น
10. รถนำส่งผู้บาดเจ็บต้องได้รับการชำระล้างก่อนนำไปใช้ต่อไป ฉีดล้างทำความสะอาดภายใน และเปิดประตู หน้าต่าง ระบายอากาศให้แห้ง
11. ทีมพยาบาลและพนักงานขับรถควรได้รับการเฝ้าระวังทางห้องปฏิบัติหลังจากปฏิบัติงานแล้ว
บทบาทของทีมกู้ชีพชุดแรกเมื่อไปถึง ณ จุดเกิดเหตุ
หัวหน้าทีม
-
ทำหน้าที่เป็นcommander ประเมินสถานการณ์ตัดสินใจประกาศสถานการณ์และรายงานMETHANE มายังศูนย์สั่งการ
-
M: Major incident : เป็นเหตุการณ์สาธารณภัยหรือไม่
E : Exact location : สถานที่เกิดเหตุที่ชัดเจน
T : Type of accident : ประเภทของสาธารณภัย
H : Hazard : มีอันตรายหรือเกิดอันตรายอะไรบ้าง
A : Access : ข้อมูลการเดินทางเข้า-ออกจากที่เกิดเหตุ
N : Number of casualties : จำนวนและความรุนแรงของผู้บาดเจ็บ
E : Emergency service : หน่วยฉุกเฉินไปถึงหรือยังและต้องการความช่วยเหลืออะไรอีกบ้าง
-
M: Major incident : เป็นเหตุการณ์สาธารณภัยหรือไม่
- สวมเสื้อคลุมและอุปกรณ์ป้องกันตนเอง
- เลือกพื้นที่ที่จะเป็นที่จอดรถพยาบาลฉุกเฉิน
- พิจารณาตัดสินใจว่าจะต้องระดมทรัพยากรมากน้อยแค่ไหนมาสนับสนุน
- กำหนดพื้นที่ปฏิบัติการหน่วยปฐมพยาบาลในพื้นที่cold zone รอรับการส่งต่อผู้ป่วยมาจากhot zone และเป็นพื้นที่ที่สามารถปฏิบัติการล้างตัวผู้ป่วยเพิ่มเติมได้
- คัดกรองผู้ป่วยส่งต่อตามลำดับความสำคัญตามหลักmedical triage
-
- Red tags : ผู้ป่วยที่ได้รับอันตรายเสี่ยงต่อชีวิต
- Yellow tags : ผู้ป่วยที่มีการบาดเจ็บหรืออาการที่อาจเปลี่ยนแปลงแย่ลงได้
- Green tags : ผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บหรือมีอาการเล็กน้อย
- Black tags : ผู้ที่เสียชีวิตหรือไม่หายใจแล้ว
ผู้ช่วย/สมาชิกทีม
1. จอดรถพยาบาลใกล้จุดเกิดเหตุมากที่สุดตามหลักความปลอดภัยโดยหันหน้าออกจากที่เกิดเหตุ
2. สวมเสื้อคลุมและอุปกรณ์ป้องกันตนเอง
3. เปิดสัญญาณไฟรถพยาบาลแสดงตำแหน่งจุดสั่งการเพื่อเป็นจุดสังเกตให้ทีมสนับสนุนอื่นๆที่จะมาช่วยเหลือ
4. แจ้งศูนย์สั่งการว่ามาถึงที่เกิดเหตุแล้วคอยประสานกับหัวหน้าทีมกับศูนย์สั่งการ
5. อยู่ประจำรถพยาบาลห้ามนำกุญแจออกจากรถพยาบาลไม่ควรดับเครื่องพร้อมเคลื่อนย้ายตลอดเวลาเมื่อเกิดเหตุไม่ปลอดภัย การจัดลำดับชั้นของพื้นที่
การจัดลำดับชั้นของพื้นที่
Hot zone :พื้นที่อันตรายคัดแยกผู้ป่วยครั้งที่1 ผู้ปฏิบัติการต้องชำนาญสูงเนื่องจากต้องเข้าออกพื้นที่อย่างรวดเร็วและเท่าที่จำเป็น
Warm zone :พื้นที่ต้องระวังคัดแยกผู้ป่วยครั้งที่2 ดูแลรักษาพยาบาลเบื้องต้นและเป็นจุดรับผู้ป่วยโดยรถพยาบาลพื้นที่นี้ต้องควบคุมการจราจรและเข้าออกอย่างเคร่งครัดดังนั้นต้องมีเครื่องหมายเสื้อหรือบัตรแสดงตัวชัดเจนตามหลักผู้บัญชาการจุดเกิดเหตุ(field commander) จะปฏิบัติงานในพื้นที่นี้
Cold zone :พื้นที่ปลอดภัยสำหรับเจ้าหน้าที่สนับสนุนและผู้บริหารระดับสูงผู้สื่อข่าวเพื่อติดตามสถานการณ์
แผนภูมิแสดงตำแหน่งที่ทำtriage
Triage sieve
คือการตรวจดูอย่างรวดเร็วเพื่อจัดกลุ่มผู้ป่วยในเบื้องต้นเนื่องจากต้องกระทำอย่างรวดเร็ว และใช้ข้อมูลไม่มากการทำtriage sieve จึงอาจเกิดความคลาดเคลื่อนได้แต่ก็จะสามารถปรับแก้ไขได้ในภายหลังการทำtriage sieve จะพิจารณาจากผู้ป่วยเดินได้เองหรือไม่การประเมินการประเมินการหายใจชีพจรหรือCapillary refill ดังแสดงในแผนภูมิ
แผนภูมิแสดงขั้นตอนของ triage sieve
Triage sort
เมื่อผู้ป่วยมาถึงจุดรักษาพยาบาลหรือในโรงพยาบาลจะถูกทำtriage อีกครั้งหนึ่งซึ่ง ณ จุดนี้จะมีบุคลากรและอุปกรณ์มากขึ้นการทำtriage จะมีการใช้ข้อมูลมากขึ้นกระบวนการนี้เรียกว่า triage sort
ในขั้นนี้ต้องมีการใช้trauma score มาช่วยในการจัดกลุ่มผู้ป่วยแต่เดิมนั้นtrauma score ประกอบด้วยค่าทางสรีรวิทยา(physiologic parameter) 5 อย่างคือrespiratory rate, respiratory effort, systolic blood pressure, capillary refill และGlasgow coma scale แต่ในปัจจุบันได้ปรับใช้ค่าทางสรีรวิทยาเพียง 3 อย่างเพื่อความสะดวกในทางปฏิบัติโดยเปลี่ยนเป็นrevised trauma score (RTS) หรือtriage revised trauma score (TRTS) ซึ่งใช้respiratory rate, systolic blood pressure และGlasgow coma scale แล้วปรับค่าที่วัดได้แต่ละตัวเป็นscore 0–4 โดยscore 4 เป็นค่าที่อยู่ในเกณฑ์ปกติลดหลั่นลงมาถึง 0 เป็นค่าที่วัดไม่ได้เลยดังแสดงในตารางการคำนวณคะแนนtriage revised trauma score (TRTS)
ตารางคำนวณคะแนน triage revised trauma score (TRTS)
เมื่อนำscore ทั้ง 3 มารวมกันจะได้เป็นค่าTRTS ซึ่งมีคะแนนเต็ม 12 การนำTRTS ไปจัดกลุ่มผู้ป่วยดังแสดงในตารางแปลผลค่าTRTS เป็นกลุ่มผู้ป่วยในแต่ละสี
ข้อดีในการใช้ทำTriage sort โดยวิธีนี้คือทำได้เร็วแม่นยำสามารถเรียนรู้และนำไปใช้ได้ง่ายอีกทั้งยังเป็นการวัดค่าทางสรีรวิทยาที่ต่อเนื่องจากtriage sieve อย่างไรก็ตามการจัดกลุ่มวิธีนี้บอกได้เพียงว่ากลุ่มใดหนักหรือเบาและต้องการการดูแลรักษาที่รีบด่วนกว่ากันแต่ไม่ได้บอกถึงอวัยวะที่บาดเจ็บซึ่งจะทำให้บอกไม่ได้ว่ารายใดต้องส่งไปยังโรงพยาบาลที่มีแพทย์เฉพาะทางสาขาใด
การประเมินสถานการณ์แจ้งเหตุแก่ห้องฉุกเฉิน
เมื่อทีมEMS ไปถึงจุดเกิดเหตุให้มีการประเมินความรุนแรงและแจ้งกลับมายังทีมห้องฉุกเฉินการประเมินเพื่อเตรียมรับเหตุเกิดอุบัติภัยสารเคมีโดยประเมินจาก
- จำนวนผู้ป่วยแยกประเภทความรุนแรง (เขียวเหลืองแดง) โดยประมาณ
- ชนิดของสารเคมีหรือลักษณะการเกิดเหตุ
- ความพร้อมในการล้างตัว ณ จุดเกิดเหตุหรือก่อนส่งต่อมาโรงพยาบาล
- ความเพียงพอของรถส่งต่อมาโรงพยาบาล
- ในกรณีที่ไม่ทราบว่าเกี่ยวข้องกับสารเคมีหรือไม่ให้สงสัยว่าผู้ป่วยที่รับมาจะได้รับการปนเปื้อนจากสารเคมี
การส่งต่อจากที่เกิดเหตุไปยังโรงพยาบาล
ในการส่งต่อผู้ป่วยที่ได้รับสารเคมีไปยังบริเวณอื่นจะต้องมีหลักการในการส่งต่อคือ
- ทำการล้างตัวผู้ป่วยเสมอเมื่อจะส่งต่อผู้ป่วยข้ามโซนและก่อนนำขึ้นรถส่งต่อ
- หากเป็นไปได้ควรมีการเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนส่งต่อโดยเฉพาะรายที่มีการปนเปื้อนมาก
- รถส่งต่อควรเปิดโล่งให้มากที่สุดเพื่อการระบายอากาศ
การทำการคัดกรองด้วย Medical Triage
วิธีการคัดกรองผู้ป่วย Triageมีดังนี้
ระบบการคัดแยกผู้ป่วยทางการแพทย์(START Medical Triage System) | |||
S.T.A.R.T. Category | Decon Priority | อาการทางคลินิกที่สำคัญ | อาการและร่องรอยการถูกสารเคมีพิษ |
---|---|---|---|
IMMEDIATE Red Tag | 1 |
มีลมหายใจหลังเปิดทางเดินหายใจ -อัตราการหายใจ>30 ครั้ง/นาที -มี Capillary refill ช้ากว่า2 วินาที -ระดับการรู้สติไม่ดี |
• อาการและอาการแสดงรุนแรงมาก • รู้ชื่อสารพิษที่เป็นของเหลวที่ได้รับ |
DELAYED Yellow Tag | 2 |
มีอาการบาดเจ็บที่มีข้อจำกัดในเรื่องเวลา สำหรับการรักษาหรือควบคุมในสถานที่เกิดเหตุ |
• อาการและอาการแสดงรุนแรงปานกลางถึงน้อย • รู้ชื่อหรือสงสัยว่าได้รับสารพิษที่เป็นของเหลว • รู้ชื่อสารพิษประเภทละอองฝอย • อยู่ใกล้กับจุดที่สารพิษรั่วไหล |
MINOR Green Tag | 3 |
ช่วยตัวเองได้(Ambulatory) อาจมีอาการบาดเจ็บ เล็กน้อยที่ไม่ต้องการการรักษาทันทีทันใด |
• อาการและอาการแสดงเล็กน้อย •ไม่รู้ชื่อสารพิษหรือแค่สงสัยว่าสัมผัสกับไอพิษละอองพิษ หรือสารพิษที่เป็นของเหลว |
DECEASED/ EXPECTANT Black Tag | 4 | หายใจเองไม่ได้แม้เปิดทางเดินหายใจให้แล้ว |
• อาการและอาการแสดงรุนแรงมากที่สุด • ได้รับสารพิษและมีผลต่อระบบประสาท • ไม่ตอบสนองต่อยาต้านพิษ |
ศูนย์เปล
หลังรับทราบการประกาศใช้แผนฯ ให้ปฏิบัติดังนี้
1. ช่วยจัดพื้นที่เพื่อรับผู้บาดเจ็บพื้นที่สีแดง สีเหลือง และกันผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง
2. รับผู้ป่วยจากรถส่งต่อผู้ป่วยนอก,เคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปจุดคัดกรอง
3. เคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บเพื่อส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการหรือเอกซเรย์ตามคำสั่งแพทย์
4. เคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บไปหอผู้ป่วยในหรือกลับบ้านหรือส่งต่อ
งานเวชระเบียน
หลังรับทราบการประกาศใช้แผนฯ ให้ปฏิบัติดังนี้
1. เจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งทำหน้าที่บันทึกประวัติผู้บาดเจ็บทำบัตรโรงพยาบาล
2. เจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งทำหน้าที่ช่วยจุดคัดกรองผูกบัตรข้อมือ ผู้บาดเจ็บ
3. ติดประกาศรายชื่อผู้บาดเจ็บที่บอร์ด
งานอาชีวอนามัย
หลังรับทราบการประกาศใช้แผนฯ ให้ปฏิบัติดังนี้
-
1. ถ้าเป็นแผนรับอุบัติภัยและสาธารณภัยแผน 1 และ 2 ซึ่งไม่ได้เป็นภัยจากสารเคมีให้ ปฏิบัติงาน ประจำพื้นที่สีเขียว
2. กรณีเป็นอุบัติภัยจากสารเคมีให้ปฏิบัติดังนี้ -
2.1 รับแจ้งข้อมูลเหตุการณ์ต่างๆร่วมเป็นทีมรักษาผู้ป่วยในห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน
2.2 สืบค้นข้อมูลที่เกี่ยวกับอันตรายและแนวทางการปฐมพยาบาล การรักษาเบื้องต้นให้กับ แพทย์
2.3 ให้คำแนะนำเกี่ยวกับอันตรายของสารเคมี การป้องกันอันตรายจากสารเคมีในขณะ ปฏิบัติงาน
2.4 กรณีผู้บาดเจ็บต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลร่วมเป็นทีมดูแลผู้บาดเจ็บกับแพทย์เจ้าของ ไข้
2.5 ตรวจเยี่ยม สอบสวนโรค ให้คำปรึกษาแก่ ผู้บาดเจ็บ/ผู้สัมผัสสารเคมีที่ห้องฉุกเฉิน และ กรณีที่ผู้บาดเจ็บต้องนอนพักในโรงพยาบาล
2.6 รวบรวม จัดทำรายงานส่ง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด
งานรังสีวิทยา
หลังรับทราบการประกาศใช้แผนฯ ให้ปฏิบัติดังนี้
1. การลงทะเบียน เขียนบันทึกHospital number และ X-ray number ในบัตรผูกข้อมือ ผู้บาดเจ็บ
2. ถ่ายภาพรังสีปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์
งานประชาสัมพันธ์
หลังได้รับแจ้งเหตุให้ปฏิบัติดังนี้
1. ถ้าได้รับแจ้งเหตุทางโทรศัพท์ให้โอนสายไปยังจุดแจ้งเหตุห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน
2. รับรายชื่อผู้บาดเจ็บจากศูนย์อำนวยการจัดพิมพ์ข้อมูลผู้บาดเจ็บหรือตายประกาศให้ผู้มาติดต่อทราบ
3. ให้ข้อมูลรายชื่อผู้บาดเจ็บแก่ญาติและผู้มาติดต่อ
4. แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจชันสูตรพลิกศพ ในกรณีผู้เสียชีวิต ได้รับคำสั่งจากศูนย์ อำนวยการ
งานโภชนาการ
หลังได้รับแจ้งเหตุให้ปฏิบัติดังนี้
จัดเตรียมอาหารและอาหารว่างภายใต้การสั่งการของศูนย์อำนวยการและโภชนาการจะนำ
อาหารมาส่งที่ศูนย์อำนวยการเมื่อเตรียมอาหารเสร็จ
กลุ่มงานเภสัชกรรม
หลังได้รับแจ้งเหตุให้ปฏิบัติดังนี้
ฝ่ายเภสัชกรรมกำหนดหน้าที่สนับสนุนการจ่ายยาและเวชภัณฑ์ โดยเปิดห้องยาใหญ่ แยก
ใบสั่งยากลุ่มผู้ป่วยอุบัติเหตุเดียวกันไว้ด้วยกันเพื่อเรียกเก็บตามสิทธิ์ ผู้บาดเจ็บที่ไม่มีสิทธิ์พิเศษให้ชำระเงิน
ตามปกติ
หน่วยจ่ายกลาง
หลังได้รับแจ้งเหตุให้ปฏิบัติดังนี้
1. จัดเตรียมอุปกรณ์เครื่องมือให้เพียงพอกับความต้องการ
2. สนับสนุนอุปกรณ์เครื่องมือเพิ่มเติม
-
การดูแลประชาชน หรือผู้ได้รับผลกระทบจากอุบัติภัยจากสารเคมีมารับบริการหลังเกิดเหตุการณ์
ดังกล่าวให้ปฏิบัติดังนี้ 1. ในรายที่ไม่ฉุกเฉินให้รับบริการที่ห้องตรวจโรคทั่วไป
2. ในรายที่ฉุกเฉินให้รับบริการที่ห้องฉุกเฉิน
3. พยาบาลประจำหน่วยงานแจ้งเจ้าหน้าที่งานอาชีวอนามัยทราบเพื่อขอรับข้อมูลสารเคมี เพิ่มเติม การล้างตัว(Decontaminate) -
วัตถุประสงค์และประโยชน์
1. เพื่อลดการปนเปื้อนทำให้ผู้บาดเจ็บไม่ได้รับพิษจากสารเคมีที่ติดตัวเพิ่ม ทำให้พิษเจือจางลง
เป็นการลดปฏิกิริยาของสารเคมี
2. เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของสารพิษไปสู่ผู้รักษาและบุคคลอื่นๆ และทำให้ห้องฉุกเฉินเป็น
เขตสะอาด
ทีมล้างตัว(Decontaminate)
ผู้ปฏิบัติหน้าที่ในการล้างตัวให้กับผู้บาดเจ็บ ต้องสวมใส่เครื่องมือป้องกันตนเองได้แก่
-
1. ชุดป้องกันสารเคมี
2. ผ้าอ้อมพลาสติก
3. ถุงมือป้องกันสารเคมี
4. แว่นตาป้องกันสารเคมีหรือหมวกที่มีกระจกบังหน้า
5. หน้ากากป้องกันสารเคมี
6. รองเท้ายางป้องกันสารเคมี
ขั้นตอนการปฏิบัติหลังล้างตัวผู้บาดเจ็บเสร็จแล้ว
-
1. ล้างตัวผู้ปฏิบัติการเริ่มด้วยบริเวณที่ปนเปื้อนมากที่สุด และ Decontaminate เหมือนเป็น
ผู้บาดเจ็บ แต่ให้สวมชุดป้องกันตัวไว้ก่อน
2. จัดเก็บหรือทิ้ง PPE ยังถุงหรือภาชนะที่เตรียมไว้
3. จัดเก็บหรือทิ้งเครื่องมือเข้าถุงหรือภาชนะที่เตรียมไว้
4. ตรวจร่างกายทีมงาน หลังจากปฏิบัติงานสำเร็จ - ขั้นตอนการล้างตัว(Decontaminate)ทั่วไป
-
1. ปลดและจัดเก็บสิ่งของมีค่าของผู้บาดเจ็บ
2. ถอดเสื้อผ้าที่ปนเปื้อนออกใส่ในถุงพลาสติกและปิดปากให้เรียบร้อย
3. ถ้ามีบาดแผลให้ใช้น้ำชำระล้าง ถ้าไม่มีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในบาดแผลไม่ต้องคุ้ยแล้วปิดไว้
ด้วยผ้าก๊อต และล้างตามขั้นตอน
4. ล้างตัวด้วยน้ำแรงและมากพอสมควรใช้น้ำสบู่หรือ Hypochlorite และใช้ฟองน้ำหรือแปรงถูตัว
เริ่มล้างจากจากศีรษะไปปลายเท้า
5. ล้างเท้าก่อนเข้าไปยังบริเวณต่อไปเพื่อไม่ให้นำสิ่งปนเปื้อนเข้าไปด้วย
6. เช็ดตัวให้แห้ง
7. ให้สวมเสื้อผ้าสะอาดหรือคลุมด้วยผ้าสะอาด
หลักการสำคัญในการล้างตัวผู้บาดเจ็บ
-
1. ถ้าผู้บาดเจ็บไม่เคยได้รับการล้างพิษให้ทำการล้างพิษเบื้องต้นทันที
2. มีสารเคมีหลายชนิดที่เมื่อถูกน้ำแล้วจะมีปฏิกิริยารุนแรง วิธีที่ดีที่สุดคือใช้น้ำปริมาณมาก ล้าง เอาสารเคมีออกให้หมด การใช้น้ำปริมาณมากจะทำให้ปฏิกิริยาลดลงหรือไม่เกิดขึ้น ซึ่งมีข้อดี กว่าปล่อยให้สารเคมีติดอยู่บนตัวของผู้บาดเจ็บ เพราะถ้าไม่ล้างออกสารเคมีจะทำปฏิกิริยากับเหงื่อที่ตัวผู้บาดเจ็บ เอง จึงจำเป็นต้องเอาสารเคมีออกให้หมด
3. ระยะเวลาการล้างผิวหนังหรือตาอาจเปลี่ยนแปลงตามสารเคมีและการสัมผัส สารที่มีฤทธิ์เป็น
ด่างรุนแรงอาจต้องใช้เวลานาน 10 ถึง 15 นาที การสัมผัสกับไอของสารอาจใช้เพียงการล้าง เบาๆ(irrigate) และใช้เวลาไม่นาน
4. การล้างเอาสารที่ไม่ละลายน้ำหรือเป็นน้ำมันที่ติดอยู่บนผิวหนังหรือผมจำเป็นต้องล้างด้วยสบู่ หรือแชมพู น้ำยาล้างมือ หรือ น้ำยาล้างจาน ใช้แปรงที่มีขนอ่อนถูเบาๆ แปรงขนแข็งจะทำให้ผิวหนังลอก และทำให้สารเคมีเข้าสู่ร่างกายได้ แต่อย่างไรก็ตามน้ำเป็นตัวล้างที่ดีที่สุดเสมอ
5. สนใจการปนเปื้อนที่ตาและผิวหนังที่เป็นบาดแผลก่อน เมื่อทำความสะอาดแผลแล้วไม่ควรให้มีการปนเปื้อนอีก โดยการปิดแผลด้วยผ้าปิดชนิดกันน้ำสำหรับสารเคมีบางชนิดเช่น ด่างชนิดแรงจะต้องล้างผิวหนังที่สัมผัสและตาด้วยน้ำหรือน้ำเกลือเป็นเวลานาน
6. การสัมผัสที่ตา ต้องเอา contact lens ออกและ irrigate ตานั้นด้วยน้ำหรือน้ำเกลือที่หยดจากชุดให้สารน้ำทางเลือดล้างโดยให้น้ำไหลจากหัวตาเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำไล่วัตถุแปลกปลอมเข้าไปในท่อน้ำตา การใช้ยาชา เช่น 0.5 % tetracaine อาจมีความจำเป็นเพื่อลด blepharospasm พยายามหาเศษสารเคมีในบริเวณ conjunctival sac ดูค่าความเป็นกรดด่าง และ irrigate จน pHได้ 7 ถึง 7.5 และถ้ามีการปนเปื้อนที่จมูกด้วยต้องล้างและดูดออกบ่อยๆเพื่อป้องกันวัตถุแปลกปลอมเข้าไป ในรูจมูก
7. การสัมผัสที่ผิวหนัง ให้ใช้น้ำล้างแรงๆที่ผิวหนังและผมประมาณ 3- 5นาที ในกรณีที่เป็นสารน้ำมันหรือมีไขมัน หรือเป็นสารที่ติดผิวหนังต้องถูออกด้วยสบู่อ่อนหรือแชมพู ไม่ควรใช้น้ำร้อนหรือแปรงถูแรงๆเพราะทำให้เกิดรอยถลอกและเส้นเลือดที่ผิวหนังขยายตัวทำให้มีโอกาส ที่สารพิษจะถูกดูดซึมเข้าทางผิวหนังได้
การดูผู้บาดเจ็บที่สัมผัสสารเคมีสำหรับพนักงานขับรถ
เมื่อได้รับแจ้งให้ออกปฏิบัติหน้าที่กับทีม EMS ต้องทราบ
-
1. ข้อมูลเบื้องต้นของสารเคมีว่ามีอันตรายอย่างไร ต้องสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันที่จำเป็นตามชนิด
ของสารเคมี เช่น ชุดป้องกันอันตราย หน้ากากกรองสารเคมี แว่นตา ถุงมือ รองเท้าบู๊ท
2. ควรศึกษาทิศทางลมว่าพัดจากไหนไปไหน จะจอดรถที่ไหนจึงจะปลอดภัย
3. เมื่อไปถึงเวลาจอดรถให้จอดเอาหน้ารถออกเพื่อเตรียมพร้อม
4. หลังจากส่งผู้บาดเจ็บเสร็จแล้วให้ทำความสะอาดรถโดยล้างภายนอก และ ภายในรวมถึง
อุปกรณ์ อื่นๆที่อยู่ในรถ เช่น เปลผู้ป่วย เบาะนั่ง ฯลฯ ด้วยน้ำให้สะอาด เปิดประตูหน้าผึ่ง
ลมให้แห้ง สนิท
การดูผู้บาดเจ็บที่สัมผัสสารเคมีสำหรับผู้ดูแลศพ
-
1. สวมถุงพลาสติกบรรจุศพหรือห่อด้วยพลาสติกให้มิดชิด เพื่อป้องกันการ แพร่กระจายของ
สารเคมี และติดป้ายแสดง “ ผู้เสียชีวิตจากสารเคมียังไม่ได้ล้างตัว”
2. เมื่อเหตุการณ์สงบ และห้องล้างตัวใช้ล้างตัวผู้บาดเจ็บจากสารเคมีที่มีชีวิตหมดแล้ว จึงนำศพ
มาชำระล้างร่างกายให้สะอาด